งานเพลง ของ หวัง ลี่หง

หวัง ลี่หง มีโอกาสเข้าวงการดนตรีในไต้หวันตอนอายุ 19 ปี ตอนนั้นเขายังเรียนอยู่ปีสอง ทางโรงเรียนมีโครงงานให้ทำระหว่างปิดเทอมฤดูหนาว หัวข้อรายงานชื่อ Demographics of the Pop Music Phonomenon เขาจึงถือโอกาสบินกลับไต้หวันหาข้อมูล รวมทั้งไปเยี่ยมยายที่ยังคงอยู่ที่นั่น แถมยังได้เอาผลงานของตัวเองอัดลงวิดีโอส่งให้สังกัดแผ่นเสียงที่ไต้หวันหลายแห่งพิจารณา นั่นเป็นการเดินทางไปไต้หวันครั้งแรกของเขา เมื่อไปถึงเขายังได้เข้าร่วมการแข่งขันร้องเพลง เขาเลือกร้องเพลง Too Silly ของเอริค มู่ กับเพลง Mong Ching Shui ของ หลิวเต๋อหัว ผ่านเข้ารอบสุดท้ายแต่ก็ไม่ชนะเลิศ บริษัทริโอ มิวสิก โปรดักชันในเครือเด็คคา เร็คคอดส์สนใจเซ็นสัญญาเขาเข้าสังกัด

ผลงานชิ้นแรกของหวัง ลี่หงเป็นอัลบัมภาษาจีนกลางชื่อ Beethoven, My Rival วางขายเดือนธันวาคมปี 1995 มีเพลงที่เขาแต่งทำนองเองรวมอยู่สามเพลงคือ Listen To The Rain, Last Night และ Hate To Say Goodbye เป็นที่สนใจในหมู่นักวิจารณ์อย่างมาก แต่ไม่มีโอกาสทำกิจกรรมโปรโมตอัลบัมได้ เพราะยังเรียนหนังสืออยู่ ทำให้ยังไม่ดังเท่าที่ควร

กรกฎาคม 1996 มีอัลบัม If You Ever Heard My Song ออกมาเป็นผลงานชุดที่สอง ชุดนี้นอกจาก หวัง ลี่หง จะได้แต่งทำนองเพลงที่เป็นไตเติ้ลแทร็คแล้ว ยังได้แต่งทำนองให้เพลง Headline Rock, Better Off Alone ฯลฯ ด้วย ธันวาคมปีเดียวกันมีอัลบัมตามออกมาอีกชุด Missing You ชุดนี้มีเพลงที่เขาแต่งอยู่สองเพลง An Appointment For Your Love กับ Noah จากนั้นก็ออกคอนเสิร์ตแสดงสดเป็นครั้งแรกที่ K K Disco

หลังจากออกอัลบัมที่สี่ White Paper ซึ่งเริ่มทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในไต้หวันเมื่อปี 1997 หวัง ลี่หง ก็กลับไปอเมริกาและรับตำแหน่ง Music Director ของ Spring Streeters วงแอเคปเพลลาของวิลเลียมส์คอลเลจ เมษายนปีถัดไปเขาเขียนเนื้อเพลงและทำนองให้ The Bite That Burns ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ในปีสุดท้ายของเขาด้วย พล็อตละครเวทีเรื่องนี้เกี่ยวกับแวมไพร์ ซึ่งเขาแต่งสกอร์ไว้ถึงกว่า 570 หน้า

ต่อมาในเดือนสิงหาคม 1998 หวัง ลี่หง ก็ออกอัลบัมที่ห้า แต่เป็นอัลบัมชุดแรกกับสังกัดโซนี่ ฮ่องกง Revolution ครึ่งหนึ่งเป็นเพลงที่เขาเขียนและโปรดิวซ์เอง ขายได้ถึงหนึ่งแสนแผ่นในหนึ่งสัปดาห์ อัลบัมชุดนี้ซึ่งมีเพลง Frozen Dream ที่เขาแต่งให้เด็กกำพร้าในไต้หวัน ทำให้เขาคว้ารางวัล Best Producer และ Best Male Singer จากงานแจกรางวัล Golden Melody Awards ของไต้หวัน

ในปี 1999 หวัง ลี่หง เข้าเรียนการร้องเพลงและดนตรีแจ๊สที่ เบิร์กลีย์ย์ มิวสิก สกูล มิถุนายนปีนั้นเขาออกอัลบัมมาอีกชุดคือ Impossible To Miss You มีเพลงฮิต คือ Julia เพลงที่เขาบอกว่าแต่งโดยใช้เวลาแค่ห้านาทีระหว่างตัดผม อัลบัมชุดนี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของในเอเซียมากขึ้น ทำให้เขาครองรางวัล Best Producer Award จากงานแจกรางวัล Singapore Hit Awards และรางวัล Most Promising Newcomer จากงานแจกรางวัล RTHK ครั้งที่ 22 ของฮ่องกงได้สำเร็จ หวัง ลี่หงพักการเรียนหนึ่งเทอมเพื่อเทรนการร้องกับ วิลเลียม ไรลีย์ ครูดนตรีที่ทางโซนี่แนะนำมา วิลเลียมส เคยโค้ชเสียงให้ ไมเคิล โบลตัน, ไบรอัน อดัมส์ และ สตีวี่ วันเดอร์ มาแล้ว ในปี 1999 เช่นกันที่เขาพากย์เสียงการ์ตูนเป็นครั้งแรก ให้กับเรื่อง Iron Giant รวมทั้งแต่งทำนองเพลง ให้ศิลปินรายอื่นร้องเป็นครั้งแรก กับเพลง Love Will Never Disappear ที่ จางฮุ่ยเหม่ย (A-Mei) ร้องรวมไว้ในอัลบัมรวมเพลงฮิตของเธอ ซึ่งวางขายในเดือนธันวาคมปี 1999

เมื่อเรียนจบปริญญาโทจากเบิร์กลีย์ในปี 1999 หวัง ลี่หง ก็เริ่มรับงานแสดงเรื่องแรกคือ The Iron Giant ตามมาด้วย China Strike Force ของ สแตนลีย์ ทง ในปี 2000 เรื่องนี้เขายังได้ร่วมโปรดิวซ์อัลบัมซาวด์แทร็ค ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้กับ คูลิโอ แร็ปเปอร์ชาวอเมริกันด้วย ปีเดียวกันนี้เขายังได้ออกอัลบัมชุดที่เจ็ด Forever's First Day ออกมาด้วย เขาใช้เวลาปีกว่าในการทำงาน ทั้งแต่งและเรียบเรียงเอง 11 เพลง ในอัลบัมมีการหยิบเอา Descendent Of The Dragon มาร้องใหม่เป็นเพลงแดนซ์ เป็นเพลงเก่าของเฮอเต๋อเจียนเมื่อต้นยุค 80 แต่คนที่ร้องจนเพลงนี้ฮิตได้คือคุณลุงแท้ ๆ ของเขา หลีเจี้ยนฟู เขาบอกว่าที่เลือกคัฟเวอร์เพลงนี้ เพราะเหตุผลส่วนตัวหลายอย่าง นอกจากว่าเป็นเพลงเก่าของคุณลุงแล้ว ก็ยังเพราะช่วงนั้นเป็นปี 2000 ปีมังกร แล้วเขาเองก็เป็นหนุ่มราศีมกรอีกด้วย

หวัง ลี่หงรับรางวัลเอ็มทีวีเอเชียอะวอดส์ 2006 สาขา Favorite Artist Taiwan

อัลบัมชุดที่เจ็ด Forever's First Day ออกขายในเดือนมิถุนายนปี 2000 หวัง ลี่หง แต่งทำนองเอง 10 เพลงจากทั้งหมด 11 เพลง เขียนเนื้อเพลงเองห้าเพลง โปรดิวซ์และเรียบเรียงเองทุกเพลง งานชุดนี้เขาพยายามผสมผสานดนตรีทั้งแร็ป ฮิปฮอป แจ๊ส อาร์แอนด์บี หรือแม้แต่ดนตรีคลาสสิก เนื้อเพลงก็มีทั้งกวางตุ้งและจีนกลาง

หลังจากลุยงานมาโดยตลอด ไม่ได้หยุดแม้แต่วันเดียวเกือบสองปีเต็ม ช่วงเดือนสิงหาคม 2001 หวัง ลี่หงเขามีโอกาสไปพักผ่อนกับครอบครัว ที่เกาะไมโคโนส ประเทศกรีซ ที่นั่นเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงได้อย่างดี จนกลายเป็นอัลบัม The One And Only อัลบัมที่ทำให้หวัง ลี่หงคว้ารางวัล Producer Of The Year, Composer Of The Year กับ Song Of The Year (จากเพลง THe One And Only)

ต่อมา หวัง ลี่หงได้ออกอัลบัมตามมาหลายชุดอย่าง Unbelievable, Shangri-la จนประสบความสำเร็จ ไม่แพ้ F4 หรือ เจย์ โจว ร่วมสังกัดคือ SONY BMG และยังได้ถ่ายโฆษณาสินค้าในเมืองไทย กับทาทา ยัง ศิลปินหญิงของไทยอีกด้วย นอกจากนี้ เพลงฮิตของเขายังเข้าตาศิลปินแจ๊ส เคนนี จี จนนำไปเรียบร้องใหม่และรวมไว้ในอัลบัมใหม่ของเขาอีกด้วย

ต่อมา หวัง ลี่หง ออกอัลบัมใหม่ล่าสุด กับ 10 เพลงใหม่ เปิดตัวด้วยซิงเกิลแรก Hua Tian Cuo และจะตามมาด้วยเพลงซึ้งอย่าง Kiss Goodbye นอกจากนี้ ยังมี ศิลปินรับเชิญอย่าง เรน และ Lim Jeonghee จากเกาหลีอีกด้วยในเดือน พฤษภาคม 2006 หวัง ลี่หง ได้รับเชิญเป็นพิธีกรร่วมกับเคลลี่ โรว์แลนด์ ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีเอเชียอะวอดส์และได้แสดงเพลง Heroes of earth และยังคว้ารางวัลศิลปินยอดนิยมจากไต้หวัน ไปครองอีกด้วย

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2549 ลี่หงได้รับรางวัล Best Male Singer จากอัลบัม Heros of Earth ในงาน Taiwan Golden Melody Awards ครั้งที่ 17

หวัง ลี่หงยังร่วมแสดงใน “Lust, Caution” ภาพยนตร์โดยผู้กำกับคนดัง “อั้งลี่” อีกด้วย ปี 2007 หวัง ลี่หงกลับมาอีกครั้งกับอัลบัมใหม่ Change My Ways ภายใต้สังกัด Epic โดยโซนี่ บีเอ็มจี มิวสิก เปิดตัวกับซิงเกิลแรก LUO YE GUI GEN